เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมนะ สัจจะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่อยู่อาศัย เป็นที่พึ่งอาศัยของหัวใจของเรา หัวใจของเราจะรุ่มร้อนขนาดไหน จะมีความทุกข์ยากขนาดไหน ไม่มีที่พึ่งที่อาศัยที่ไหนทั้งสิ้น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด จงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด” แล้วธรรมมันอยู่ไหนล่ะ
เวลาธรรม สัจธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ในพระไตรปิฎกก็เป็นแผนที่เป็นที่ชี้เข้าไปสู่สัจธรรมในใจของเรา ไปหาครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ก็ได้ชี้แนะนำทางเข้ามาในใจของเราทั้งสิ้น ถ้าในใจของเราๆ เห็นไหม
เวลาอากาศร้อนนี่ร้อนมาก ร้อนสุดที่จะร้อน เวลาฝนตกลงมามันชุ่มเย็นไปหมดน่ะ
เวลาร้อนๆ ร้อนๆ จะแก้ด้วยวิธีการใด ยิ่งร้อนๆ ยิ่งแก้ด้วยอารมณ์ของเรา ยิ่งแก้ด้วยความขัดแย้ง ยิ่งแก้ด้วยชี้แต่คนอื่นผิดๆ ชี้แต่คนอื่นเขาทำทั้งสิ้น ชี้แต่คนอื่นทำทั้งสิ้น
แล้วตัวเองล่ะ ตัวเองจะมีที่พึ่งอาศัยจากไหนๆ
ถ้ามีที่พึ่งอาศัยมาจากไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ๆ ไง ถ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ อนุปุพพิกถา ให้เขาเสียสละทานๆ การเสียสละทานคือการเสียสละ การอภัยทาน
อภัยทาน คนที่มีจิตใจ คนที่จิตใจสมองเขาต่ำต้อย พยายามชี้ให้เขามีสมองขึ้นมาให้ได้ ชี้ให้เขาเห็นถูกเห็นผิดให้ได้ ชี้มาว่าที่มันเป็นอย่างนี้เพราะมือเรา เพราะมือเรา เพราะมือเรา แล้วเพราะมือเรามันมาจากไหนล่ะ
มันบอกไม่เป็นไรๆ เอาแต่สะดวก เอาแต่มักง่าย เอาแต่มักง่าย มักง่ายจะได้ยาก มักง่ายจะได้ยาก
จิตใจของคนที่เป็นนักอนุรักษ์นะ เขามีแต่ความทุกข์ยาก เขาแบกโลก เขาต้องการให้คนเข้าใจ เขาต้องการให้คนรู้ เขาแบกโลกไว้นะ แบกโลกไว้เพราะอะไร
แบกโลกไว้ให้รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด เขาแบกโลกไว้ว่าใครเป็นคนทำ ถ้าใครเป็นคนทำ ก็เราทำกันเองไง ถ้าเราทำกันเอง ถ้าเราช่วยกันเอง มันก็รอดพ้นมาด้วยกันเองไง ถ้ามันได้กันเอง เห็นไหม
สิ่งที่มันเกิดจากสติปัญญาของคน สติปัญญาของคนมันมาจากไหน มันมาจากการฝึกหัด มาจากความเข้าใจ ถ้าฝึกหัดเข้าใจนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ที่นี่ไง
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ เทฺวเม ภิกฺขเว ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ
สุดโต่งทั้งสองข้าง สุดโต่งทั้งทางความรุนแรง สุดโต่งทั้งทางที่ไม่เอาไหน
กามสุขัลลิกานุโยค ไม่เอาไหน นอนจมอยู่กับความสุขของตน
อัตตกิลมถานุโยค มีแต่ความทุกข์ความยาก
ความสุดโต่งทั้งสองทาง ไม่เอาๆ เวลาจะเอาขึ้นมาเอามัชฌิมาปฏิปทา มัชฌิมาปฏิปทาของใคร
ใครมีความความจำเป็น เห็นไหม เราชี้หน้าเลย คนนั้นทำๆ แต่ดูสภาพแวดล้อมสิ ในภูมิอากาศแต่ละประเทศมันไม่เหมือนกัน คนเราจะทำได้มากได้น้อยไม่เหมือนกัน สิ่งที่ไม่เหมือนกัน เราก็ต้องมีน้ำใจต่อกัน
คนที่มีน้ำใจต่อกัน ในที่ลุ่ม ในที่แล้ง ในที่ดอน ในที่ต่างๆ ความเป็นอยู่มันไม่เหมือนกัน มันไม่เหมือนกัน จะชี้หน้าๆ ชี้หน้าจะว่าใคร ถ้าชี้หน้าว่าใคร แล้วสภาพแวดล้อมของเขาล่ะ แล้วสิ่งใดที่มีค่าที่สุด เห็นไหม
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห้ามญาติ ญาติของท่านฝ่ายพ่อฝ่ายแม่แย่งน้ำทำนากัน แย่งน้ำทำนากันไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปห้ามครั้งที่หนึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปห้ามครั้งที่สองนะ จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปห้ามครั้งที่สาม เขาฆ่ากันตายหมดเลยนะ
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปห้ามครั้งที่หนึ่งนะ เวลาให้เหตุผลนะ ยกทัพมาเพื่ออะไร เพื่อจะมาแย่งน้ำ จะเปิดน้ำเข้าที่ของตน แล้วเวลาถ้าเปิดน้ำเข้าที่ของตน ถ้ามันคุยกัน มันเข้าใจกัน มันก็แบ่งปันกันได้ไหม ถ้าแบ่งปันกันไม่ได้ รบทัพจับศึกกันไป สิ่งที่เสียไปคือชีวิตใช่ไหม สิ่งที่มีชีวิต น้ำกับชีวิตสิ่งไหนมีคุณค่ามากกว่ากัน ชีวิตมีคุณค่ากว่า ด้วยความเข้าใจ ด้วยความตกลงกันได้ แยกย้ายกลับไปครั้งที่หนึ่ง
พอครั้งที่สองมาก็มาห้ามอีก ครั้งที่สาม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยสภาพแวดล้อม ด้วยความจำเป็นต่างๆ ในชีวิตมันก็มีความจำเป็นทั้งสิ้น แต่ด้วยเวรด้วยกรรมของเขา ด้วยการกระทำที่มันบาดหมางกันมา สิ่งที่สร้างกันมา ถึงที่สุดก็รบราฆ่าฟันกันเพราะการแย่งชิงน้ำทำนา
นี่เวลาให้สติให้ปัญญาก็ให้ได้เป็นครั้งเป็นคราว แต่ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมามันต้องคนที่มีบารมี คนที่มีบารมี คนที่พยายามชี้แนะ มีบารมีแล้วเราช่วยเหลือเจือจานเขา สิ่งใดที่ขาดแคลนเราก็จะช่วยเหลือเจือจานเขา
ช่วยเหลือเจือจานกัน แบ่งปันกันเพื่อบั่นทอนความทุกข์ความยาก เจือจานกัน แล้วมีอะไรเราช่วยเหลือกันๆ นี่ทางโลกนะ แล้วทางธรรมๆ ล่ะ
ทางธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ๆ ไง
เรามาวัดมาวาขึ้นมาเราก็มาปรารถนาเพื่อขุดค้นหาหัวใจของตน ถ้าขุดค้นหาหัวใจของตน ถ้าทำความสงบของใจเข้ามาได้ ทำความสงบของใจเข้ามาได้ สิ่งที่ว่าหัวใจที่มันพึ่งพาอาศัยได้ๆ มันจะพึ่งพาอาศัยกันข้างนอก เห็นไหม
เวลามีภัยแล้ง ภัยแล้งมันรุนแรงมาก เวลาฝนตกลงมาชุ่มเย็น ชุ่มเย็นไปหมดเลย ถ้าเวลาภัยแล้ง คนร้อนตาย สถิติของโลกนะ ร้อนตายก็มี หนาวตายก็มี น้ำท่วมตายก็มี เวลาตายเพราะอะไร ตายเพราะมันสุดโต่งมากเกินไปไง
แต่ถ้าเวลาฝนตกๆ ขึ้นมา คนที่มีสติมีปัญญาเขากักน้ำไว้ เขาพยายามถนอมรักษาน้ำไว้ ไว้ใช้ประโยชน์ของเขา ไม่ใช่น้ำท่วมตาย น้ำท่วมตาย ร้อนก็ร้อนตาย หนาวก็หนาวตาย เวลาน้ำท่วม น้ำท่วมตาย ตายหมดเลยเพราะใช้ไม่เป็น
มัชฌิมาปฏิปทา มัชฌิมาปฏิปทาความจำเป็นของเรา ถ้าความจำเป็นของเรานะ สิ่งใดที่มันสุดโต่งๆ สิ่งใดที่มันรุนแรง ภัยพิบัติ ภัยพิบัติเวลามาขึ้นมา ภัยพิบัติใครจะป้องกันมันได้ เวลาภัยพิบัติขึ้นมาตายเป็นเบือ
แล้วถ้าเป็นความจริงๆ ล่ะ ถ้าความจริงภัยพิบัติ ใครมีบุญกุศลขึ้นมา เวลาเครื่องบินตก ตกตายทั้งลำเลย แต่เราคนเดียวขึ้นเครื่องบินไม่ทัน นี่ไง มันรอดได้ ถ้ามันขึ้นเครื่องบินมันก็ไปตายทั้งลำนั่นน่ะ เวลาเครื่องบินมันตกทั้งลำตายเกลี้ยงเลย ไอ้คนที่มาขึ้นเครื่องบินไม่ทัน รอด
ภัยพิบัติ เวลาภัยพิบัติที่มันเห็น ภัยพิบัติขึ้นมา มันวิกฤติขึ้นมา มันไม่มีทางสิ่งใดที่จะรอดชีวิตได้ แต่ถ้าคนมีบุญกุศลนะ เขาไม่ไปอยู่ในภัยพิบัตินั้น มันมีเหตุมีความจำเป็นขึ้นมาให้เราพลัดพรากจากสิ่งนั้นไป
กรรมดี กรรมชั่ว เวลากรรมดีขึ้นมามันมีเหตุมีผลของมัน มันมีที่มาที่ไปของมัน มันต้องมีที่มาที่ไปทั้งสิ้น ในโลกนี้ไม่มีอะไรของฟรี พระพุทธศาสนาไม่ได้บอกมีของฟรี ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ คนที่ฉลาดขึ้นมาก็ได้สร้างได้สมของตัวเองมา คนที่โง่ที่เขลาขึ้นมาก็ไปกลั่นแกล้งเขามา
ในสมัยพุทธกาล ในพระไตรปิฎก เวลาพระสวดปาฏิโมกข์ ท่องปาฏิโมกข์ คนที่ฉลาดไปยิ้มไปเยาะเขา จนเขาไม่สวดปาฏิโมกข์ เขาอายไง ถึงเวลาไปเกิดอีกชาติหนึ่งเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญาไปเลย เห็นไหม มันมีที่มาที่ไปทั้งนั้น มันต้องมีที่มาที่ไป
อจินไตย ๔ กรรมเป็นเรื่องอจินไตย อจินไตยตรงไหน อจินไตยเพราะมันซับซ้อนมามาก บุพเพนิวาสานุสติญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีต้นไม่มีปลายนะ จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ การที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ใครจะปฏิเสธ ใครจะไม่เชื่อมันเรื่องของเขา วิทยาศาสตร์เจริญขนาดไหนก็เรื่องของวิทยาศาสตร์เขาไป แต่สัจจะความจริง สัจจะความจริงมันเป็นสัจจะความจริงวันยังค่ำ สัจจะความจริงวันยังค่ำ คือว่านี่ไง เวลามันทุกข์มันยากมันหงอยมันเหงาในหัวใจ วิทยาศาสตร์แก้อะไรไม่ได้หรอก
ไปศึกษาวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์จะแก้ได้ ตึกถล่ม ตึกถล่มขึ้นมาแล้ววิศวกรรมเขามาเลยนะ มันถล่มเพราะอะไร พอเข้าใจแล้ว เออ! เข้าใจ ก็เข้าใจ นี่วิทยาศาสตร์มันก็แก้กันอย่างนั้นไง วิทยาศาสตร์มันแก้ได้ด้วยวัตถุไง
ถ้าพุทธศาสน์ พุทธศาสน์มันแก้ทุกข์ในหัวใจของเราไง ถ้าแก้ทุกข์ที่หัวใจของเรา จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันได้สร้างบุญสร้างกรรมมาขนาดไหน
ถ้าได้สร้างบุญสร้างกรรมมานะ เวลาโครงการช่วยชาติฯ ของหลวงตา เวลาท่านทำของท่าน ท่านเข้าใจของท่าน ท่านบอกเลย พวกที่เชื่อฟังท่านคือเรามีวาสนาร่วมกันมา คนที่เชื่อที่ฟังที่มาอุ้มชูค้ำจุนกันนั่นน่ะเพราะว่าท่านได้สร้างบุญสร้างกรรมกันมา
ไอ้พวกที่มาเจาะยาง ไอ้พวกที่มาทำลาย พยายามชี้โทษว่ามันไม่ดีอย่างนั้นๆ ไอ้นั่นมันก็มีเวรมีกรรมต่อกันมา ถ้ามีเวรมีกรรมต่อกันมา มันก็ไปปรับทัศนคติให้เห็นต่างกัน พอทัศนคติเห็นต่างกันนะ ด้วยเหตุด้วยผลอะไรก็แล้วแต่ กิเลสมันไม่มีเหตุผล กิเลสมันเอาชนะคะคานทุกคนไปทั้งสิ้น เห็นไหม
จิตของเราก็เหมือนกัน เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีเวรมีกรรมของมันมา ถ้ามีเวรมีกรรมของมันมา ในชาติปัจจุบันนี้เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนให้อภัยทานๆ การให้อภัย คนที่มันมีจิตใจมันขัดมันแย้งในหัวใจ เราตั้งสติของเราขึ้นมาให้ได้
เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะก็เห็น ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว แล้วเวลาเรามาเห็นนะ ไปโรงพยาบาลน่ะ เวลาคนที่ปฏิบัติธรรมไปโรงพยาบาล มันไปพิจารณาธรรมๆ นะ ตั้งแต่ห้องคลอด ดูคนเกิด ดูคนเจ็บ ดูคนป่วย ดูคนตาย แล้วมันจะมีสติหรือ มันจะไม่กระพือไปกับโลก เห็นไหม
นี่ไง ถ้าไปโรงพยาบาล โรงพยาบาลใหญ่ๆ ขึ้นมา แล้วไปเดินพิจารณาธรรม ไปเดินพิจารณาธรรมนะ คนถ้ามีสติปัญญา เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนขึ้นมา สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือหัวใจของมนุษย์ไง
เวลาหลวงตาท่านทุกข์ยากขนาดไหนเวลาท่านเทศนาว่าการ ท่านอุตส่าห์ตรากตรำไปนะ ตรากตรำไปเอาหัวใจของคน เอาหัวใจของคนไง หัวใจที่มันอยู่กับเรานี้
หัวใจอยู่กับเรา เราเกิด จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาเกิดในท้องพ่อท้องแม่ขึ้นมาแล้วเกิดมาเป็นเราแล้วมันก็ยังส่งออกนะ ไปยึดมั่นถือมั่นนะ ยึดมั่นในชาติในตระกูล ในการเกิด ในสถานะ ในการเหยียบย่ำ มันส่งออกไปหมดเลย แล้วมันไม่มองตัวมันเองเลย
เวลาหลวงตาท่านปรารถนาไปรื้อสัตว์ขนสัตว์ ไปเอาใจคนๆ เอาใจคนก็พยายามไปชัก ไปกระตุกให้พวกนั้นน่ะหันกลับมาดูใจของตน ให้มันกลับมาดูใจมัน ให้มันกลับมาดูความรู้สึกนึกคิดไง
นี่ไง จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่ เวลามันทุกข์มันยากบ่นพร่ำเพ้อ เวลาจริงๆ ขึ้นมา เวลาร้อน เร่าร้อน ร้อนจนร้อนตาย
ร้อนตาย ในสถิติโลกเขามีนะ ร้อนตาย หนาวตาย น้ำท่วมตาย เพราะอะไร เพราะมันสุดโต่ง
แต่ของเรานะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาร้อน เราก็หาที่ร่ม หาที่หลบแดด เวลาน้ำท่วม เราก็พยายามหาที่ดอนที่หลบภัย เวลามันหนาว หนาวก็หาที่อบอุ่น นี่ก็เหมือนกัน เรารู้จักรักษา
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน อริยสัจ อริยสัจปากเปียกปากแฉะ ทุกคนมีคุณธรรม พฤติกรรมมันเลวทรามๆ ธรรมะสุดยอด แต่กูต่ำต้อย อริยสัจทั้งนั้นน่ะ อริยสัจสุดยอด แล้วอริยสัจคนอื่นผิดด้วยนะ อริยสัจคนนั้นถูกเสียด้วย นี่เวลามันชี้ไง
แต่ถ้าเป็นจริงๆ ขึ้นมา เอ็งเก็บน้ำใช้หรือเปล่า เวลาภัยแล้ง เอ็งมีน้ำไว้ใช้หรือไม่ เวลาฝนตกรุนแรงเกินไป เอ็งได้ทำที่อยู่เอ็งมั่นคงหรือยัง เวลาเกิดภัยพิบัติ เอ็งได้ป้องกันภัยหรือไม่ นี่ไง มันจะเกิดสิ่งใดก็แล้วแต่ ถ้าจิตใจเขาร่มเย็นขึ้นมา เราพยายามหลบหลีก พยายามเก็บ พยายามใช้สติปัญญาแก้ไขสถานการณ์ให้มันดีขึ้นๆ ไง
ไอ้เรื่องนี้มันเรื่องภัยของวัฏฏะ มันเรื่องของโลกไง ถ้าเรื่องของหัวใจของเราไง ทำไมเราไม่เกิดพร้อมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งๆ ที่เกิด
ประวัติหลวงปู่ขาว ท่านเกิดทันหมด ประวัติหลวงปู่ขาวท่านช่วยทำสังคายนาด้วย นี่ท่านพูดถึงประวัติของท่าน ท่านเล่าของท่านเอง ประวัติหลวงปู่ขาว ท่านได้สร้างมาขนาดนั้น ท่านได้ทำของท่านมาขนาดนั้น
เวลาทำของท่านมามันเป็นประโยชน์ นี่จิตใจที่มันสร้างสมบุญญาธิการมา จิตใจที่สร้างสมบุญญาธิการมา สิ่งใดที่มันเป็นวิกฤติในชีวิตมันมีสติปัญญายับยั้งหมด ภรรยามีชู้ ดาบจะฟันชู้อยู่แล้ว สติปัญญามันยับยั้งเลย เขารู้ตัวแล้ว เขายอมรับผิดแล้ว อย่าทำเขา
ถ้าฟันเขาก็ไม่ได้บวชมาเป็นหลวงปู่ขาว ถ้าฟันเขามันก็ต้องติดคุก มันก็ต้องทำไป แต่ด้วยสติ ด้วยอำนาจวาสนาที่ได้สร้างสมมาๆ ขนาดภรรยามีชู้ แล้วท่านก็เป็นคนไม่ใช่คนลงคน คนจริง คนจริงมันหยามกันอย่างนั้นไม่ได้ ถ้ามันหยามกันอย่างนั้นมันต้องตายหมด แต่สติปัญญามันก็เท่าทัน เห็นไหม เขายอมรับแล้ว เขาสารภาพแล้ว อย่าทำเขา
คำว่า “เขายอมรับแล้ว เขาสารภาพแล้ว อย่าทำเขา” นี้คือสติปัญญาที่มันรู้เท่าทันอารมณ์โกรธที่โกรธรุนแรงมาก การโกรธที่รุนแรงมาก การที่จะกระทำเขาด้วยศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แล้วศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย
แต่สติปัญญาที่มันเท่าทัน “เขาสารภาพแล้ว เขายอมแล้ว อย่าทำเขา” นี่ถ้ามันมีสติปัญญาอย่างนี้ได้ เพราะอะไร
ย้อนกลับไปไง ย้อนกลับไปที่ว่าท่านเกิดทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเกิดทันเทวทัต ท่านเกิดทัน ท่านเป็นลูกศิษย์เทวทัต อยู่กับเทวทัต ประวัติหลวงปู่ขาวอยู่ในตู้ เอาไปอ่านได้ ท่านเล่าเอง เป็นสติปัญญาของท่าน
นี่พูดถึงผลของวัฏฏะๆ เพราะคนเรามันจะมีสติมีปัญญา มันได้สร้างสมของมันมา คนที่มีสติปัญญาที่ยั้งคิดได้ การยั้งคิด ยั้งคิดเพราะมีอำนาจวาสนา แต่คนที่อ่อนแอมันทั้งน้อยเนื้อต่ำใจ โอ๋ย! ไม่มีใครชื่นชมเราเลย ไม่มีใครเอาวอมาหาม
เอ็งได้ประโยชน์อะไร เอาวอมาหามนะ เอ็งซื้อรถเทรลเลอร์มาชักลากได้เลย เอ็งจะทำอะไรก็ได้ สิ่งที่ทำ แต่เอ็งทำแล้วสังคมยอมรับไหม มันมีบารมีไหม มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ เวลาหลวงตาท่านไปเทศนาว่าการไปเอาใจของคนๆ ไง ใจของคนถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมา มันจะเกิดวิกฤติสิ่งใดขึ้นมาก็แล้วแต่ มันแก้ไขของมันได้
ธรรมโอสถๆ ธรรมโอสถขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแก้ไขที่หัวใจของเรา
มันจะเร่าร้อนขนาดไหนมันก็เร่าร้อนโดยภูมิอากาศโดยธรรมชาติของมัน แต่ใจของเราล่ะ เห็นไหม เห็นโทษของมันหรือไม่ เห็นโทษของมันแล้วมันจะไปโทษใคร จะไปโทษอากาศร้อนก็ไม่ได้ โทษใครไม่ได้ก็โทษน้ำมือมนุษย์
แล้วโทษน้ำมือมนุษย์ มันโทษวัฏฏะ โทษวัฏฏะเพราะอะไร เพราะสมัยก่อนคนเรากี่พันล้าน ตอนนี้หกพันล้านจะเจ็ดพันล้านจะหมื่นล้าน แล้วสิ่งที่เป็นวิกฤติที่สุดคือสิ่งที่ของเสียจากมนุษย์ มนุษย์ทำของเสียมาก มนุษย์ขับถ่าย มนุษย์ใช้ทรัพยากรมหาศาล มนุษย์ มนุษย์ทั้งนั้นเลย แล้วโทษใคร โทษใคร
ผลของวัฏฏะไง วาระที่มาเกิดไง วาะไง สภาคกรรม กรรมที่ร่วมกันมา กรรมที่ทำกันมา แต่ถ้าใครมีสติมีปัญญา ผู้อนุรักษ์เขาก็แบกก็หามโลกนะ เขาพยายามของเขา เขาทุ่มเทของเขา นั่นก็ทุ่มเทของเขา ถ้าเขาทุ่มเทด้วยน้ำใสใจจริง
แต่ถ้ามีสิ่งใดก็แล้วแต่ ถ้ามันเป็นประโยชน์ปั๊บ ไอ้สิบแปดมงกุฎมันจะสวมรอยทันที ไอ้พวกสิบแปดมงกุฎมีอะไรไม่ได้เลยล่ะ มันจะเข้ามาเลย มันน่ะนักอนุรักษ์ใหญ่ มันจะเข้ามามีปัญหาทันที
ฉะนั้น ผู้ที่มีสติมีปัญญาจะไม่เชื่อสิ่งใดง่ายๆ จะต้องมีสติปัญญาใคร่ครวญ
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ กาลามสูตร อย่าเชื่อใคร อย่าเพิ่งเชื่อ เห็นหน้าแล้วอย่าเชื่อ ต้องใช้ระยะเวลาพิสูจน์กันก่อน ต้องพิสูจน์กัน อย่าไว้เนื้อเชื่อใจใครทั้งสิ้น ต้องพิสูจน์
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น เวลาเทศนาว่าการชี้แนะว่าสิ่งใดดีๆ คนมันทำเลียนแบบได้ทั้งนั้นน่ะ แล้วคนที่มันทำเลียนแบบขึ้นมาแล้วมันเป็นประโยชน์กับใคร มันไม่เป็นประโยชน์กับใครทั้งสิ้น แล้วมันจะมีผลเสียหาย เสียหายทรัพยากรที่เราเสียหายไปกับมันนั่นแหละ เราไม่ควรให้สิ่งนั้นมาทำลายเวลาที่เราจะทำคุณงามความดีกัน
ฉะนั้น ไอ้พวกสิบแปดมงกุฎ ไอ้พวกสวมรอยน่ะ อย่าเชื่อ
แล้วครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงก็อย่าเพิ่งเชื่อ
แล้วถ้าเวลามันเป็นจริงขึ้นมาแล้วนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเอง “ผู้ที่อยู่กับเราจับชายจีวรเราไว้แต่ไม่ทำตามเรา เหมือนอยู่ห่างกันคนละโลก ผู้ที่อยู่ไกลเราลับขอบฟ้าประพฤติเหมือนเรา ปฏิบัติเหมือนเรา ทำเหมือนเรา เชื่อฟังเรา เหมือนอยู่ใกล้ชิดติดกับเรา เหมือนอยู่ใกล้ชิดติดกับเรา”
ผู้ที่จับชายจีวรไว้ ติดกันจนจับชายจีวรนะ แต่มันไม่ทำ มันดื้อดึง มันขัดขืน มันอวดอ้าง อยู่ห่างเรา
แต่โดยภาพเขาจับชายจีวรไว้ มันอยู่ห่างไหมล่ะ อยู่ติดเลย
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดเอง อยู่ติดเรา จับชายจีวรเราไว้แต่ไม่ทำตาม ไม่เห็นธรรมและวินัยเป็นของมีค่า เอาแต่ทิฏฐิมานะของมัน อยากใหญ่อยากโต เหมือนอยู่ห่างเราคนละโลก คนละโลกเลย เห็นไหม
ผู้ที่อยู่ห่างไกลแสนไกลทำตามเรา ปฏิบัติตามเรา
นี่ไง ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว ธรรมและวินัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเป็นผู้ค้นคว้า ครูบาอาจารย์เราเป็นผู้ค้นคว้า เป็นอันเดียวกัน
เวลาหลวงตาท่านสิ้นกิเลส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ได้อย่างไรหนอ รู้ได้อย่างไร มันซาบซึ้ง ทันกัน เห็นไหม ๒,๐๐๐ กว่าปี ๒,๐๐๐ กว่าปีเหมือนปัจจุบัน อันเดียวกัน ไม่มีกาลไม่มีเวลา ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เหมือนอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอวัง